“ข้าว” เป็นพืชที่มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตคนไทยทั้งในแง่ของการผลิตและบริโภค จากการผลิต “ข้าว” เพื่อบริโภคภายในครัวเรือนสู่การผลิตเพื่อจำหน่ายในระบบอุตสาหกรรม ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตข้าวอันดับ 6 ของโลก และส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลก (ปี 2559) สร้างรายได้ให้ประเทศปีละหลายแสนล้านบาท

จากสภาพอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงส่งผลต่อการผลิตข้าวและพืชเกษตร สวทช. กำหนดยุทธศาสตร์วิจัยและพัฒนา การปรับตัวภาคการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระยะที่ 3 (2560-2564) เพื่อสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีเพื่อใช้ปรับปรุงพันธุ์พืชที่ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลิตพืชที่ให้ผลผลิตต่อพื้นที่สูง ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเทคโนโลยีการพยากรณ์และระบบเตือนภัย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียอันเกิดจากภัยพิบัติและศัตรูพืช

บทความ

“ข้าวหอมชลสิทธิ์ สู้วิกฤตน้ำท่วม” สู่ “หมู่บ้านผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพ”

ากสภาพปัญหาน้ำท่วมนาข้าวจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นประจำเกือบทุกปี ทำให้พืชผลทางการเกษตรโดยเฉพาะนาข้าวได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และกรมการข้าว ปรับปรุงพันธุ์ข้าวทนน้ำท่วม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา และคณะ จากหน่วยปฏิบัติการค้นหาและใช้ประโยชน์ยีนข้าว (หน่วยปฏิบัติการวิจัยร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค)) สวทชร่วมกับนักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรมการข้าว พัฒนาพันธุ์ข้าวหอมคุณภาพดีที่ทนน้ำท่วมฉับพลัน โดยผสมระหว่างพันธุ์ข้าวไออาร์ 57514 ที่ทนต่อน้ำท่วมฉับพลันกับพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ที่ไม่ทนน้ำท่วม ได้พันธุ์ชื่อว่า “ข้าวพันธุ์หอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน”

ข้าวพันธุ์หอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน” จมอยู่ใต้น้ำได้นาน 2-3 สัปดาห์ ฟื้นตัวหลังน้ำลดได้ดี ความสูงต้นประมาณ 105-110 เซนติเมตร จำนวนรวงต่อกอประมาณ 15 รวง (นาดำลำต้นแข็ง ไม่หักล้มง่าย นอกจากคุณสมบัติเด่นในการทนน้ำท่วมฉับพลันแล้ว พันธุ์หอมชลสิทธิ์ไม่ไวต่อช่วงแสง จึงปลูกได้มากกว่า ครั้งต่อปี อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 120 วัน ผลผลิตเฉลี่ย 800-900 กิโลกรัมต่อไร่ คุณภาพการหุงต้มคล้ายพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ปริมาณอะไมโลส ร้อยละ 14-18 และมีกลิ่นหอม

เมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน

ปลายปี 2556 พื้นที่ตำบลชัยบุรี อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ประสบปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน ทำให้ปริมาณน้ำในคลองไหลเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรม สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะพื้นที่นาข้าวซึ่งเพาะปลูกกันมากในเขตอำเภอเมืองพัทลุงและอำเภอควนขนุน องค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุงได้ขอรับการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลันจากมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อน สวทชน้อมเกล้าฯ ถวาย “เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน” จำนวน ตัน แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพระราชทานให้แก่เกษตรกรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพัทลุง

องค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุงได้ส่งมอบเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน ข้าวหอมชลสิทธิ์” แก่กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ สร้างความปลื้มปิติให้กับเกษตรกรทั้ง กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเกษตรกรชาวนาหมู่ที่ .ชัยบุรี กลุ่มทำนาท่าสำเภา หมู่ที่ .ชัยบุรี กลุ่มทำนาบ้านอ้ายใหญ่ หมู่ที่ .ชัยบุรี ศูนย์สาธิตวิสาหกิจชุมชน บ้านท่าช้างพื้นฟูเศรษฐกิจ หมู่ที่ .พนางตุง กลุ่มเกษตรกรทำนาบ้านสุนทราออก ต.ปันแต และกลุ่มปลูกข้าว หมู่ที่ บ้านโคกวา ต.ควนขนุน

หมู่บ้านผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพ

ปี 2558 ชาวนาในพื้นที่ภาคใต้ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวจากภูมิภาคอื่น ทำให้มีต้นทุนการปลูกข้าวสูง อีกทั้งอาจได้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ไม่ได้คุณภาพ ดังนั้นเพื่อความยั่งยืนในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง สวทชได้ร่วมกับ อบจ.พัทลุง ดำเนิน “โครงการหมู่บ้านแม่ข่าย วทบ้านคอกวัวหมู่บ้านข้าวหอมชลสิทธิ์” ที่ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง เป็นหมู่บ้านแม่ข่ายผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์สำหรับขยายผลสู่หมู่บ้านอื่น ในช่วงแรกของโครงการฯ ได้ผลักดันให้ชาวนาในบ้านคอกวัวรวมตัวจัดตั้ง “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์” มีสมาชิก 23 ราย และผลักดันให้กลุ่มฯ ได้รับมาตรฐาน Good Agricultural Practice (GAP) สำหรับการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว

ในปี 2561 สท/สวทชได้ขยายผลเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ไปที่ “บ้านโคกฉิ่ง” หมู่ที่ 11 .ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง ซึ่งเป็นหมู่บ้านลูกข่าย โดยได้ร่วมกับผู้นำชุมชน และศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวพัทลุงจัดทำแปลงสาธิตการผลิตเมล็ดพันธุ์อย่างถูกวิธี มีคุณภาพ ซึ่งผลผลิตจากแปลงได้ส่งต่อให้เกษตรกรในพื้นที่ได้ใช้เพาะปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือนและจำหน่ายสร้างรายได้ให้ครอบครัว

“หอมชลสิทธิ์” ข้าวทนน้ำท่วม หอม นุ่ม ด้วยคุณภาพ

จังหวัดพัทลุงเป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญอีกแห่งของภาคใต้ มีพื้นที่ปลูกข้าวราว แสนไร่ แต่ด้วยสภาพอากาศ “ฝนแปดแดดสี่” ของภาคใต้ส่งผลกระทบไม่น้อยต่อเกษตรกรที่สูญเสียทั้งพืชอาหารบริโภคและรายได้จากการจำหน่ายข้าว

ปี 2557 ชาวตำบลชัยบุรี อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง รู้จัก “ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน” หลังจากที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุงได้ขอสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์จากมูลนิธิชัยพัฒนา นำไปแจกจ่ายให้เกษตรกรได้เพาะปลูก ดังที่ “บ้านโคกฉิ่ง” หมู่ 11 ตำบลชัยบุรี แหล่งผลิตพันธุ์ข้าวนี้ที่มี สมมาตร มณีรัตน์ และทวี บุษราภรณ์ สองเกษตรกรผู้เชี่ยวชาญการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของบ้านโคกฉิ่ง รับหน้าที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์เมื่อปี 2560 บนพื้นที่ปลูกคนละ ไร่ ก่อนส่งต่อเมล็ดพันธุ์ให้สมาชิก “วิสาหกิจกลุ่มข้าวหอมชลสิทธิ์บ้านโคกฉิ่ง” นำไปเพาะปลูกเพื่อบริโภค

กลุ่มมีสมาชิก 21 คน ส่วนใหญ่จะปลูกข้าวหอมชลสิทธิ์ไว้กินในครัวเรือน มีบางรายที่ปลูกได้มาก ก็จะขาย และมีสมาชิกเริ่มสนใจปลูกเพื่อทำเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้น” ปรีชา อ่อนรักษ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจข้าวหอมชลสิทธิ์บ้านโคกฉิ่ง บอกเล่าถึงการปลูกข้าวหอมชลสิทธิ์ของสมาชิกกลุ่ม ซึ่งนอกจากเป็นประธานของกลุ่มฯ แล้ว ปรีชา ยังทำหน้าที่นักการตลาดให้กลุ่มฯ รับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิกและหาตลาดจำหน่าย โดยเขาประกันราคาข้าวให้สมาชิกที่ 8,000 บาท/ตัน ก่อนนำไปสีและจำหน่ายเป็นข้าวสารราคากิโลกรัมละ 30 บาท หากแพ็คสุญญากาศจำหน่ายกิโลกรัมละ 50 บาท ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์รับซื้อเมล็ดพันธุ์สด (ไม่อบแห้งในราคากิโลกรัมละ 10 บาท และจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 18 บาท ซึ่งรายได้จากการขายข้าวสารและเมล็ดพันธุ์จะนำมาเฉลี่ยเป็นเงินปันผลให้สมาชิก

ก่อนหน้าที่สมาชิกกลุ่มฯ ได้รู้จักพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ พันธุ์ข้าวที่ปลูกในพื้นที่มีหลากหลายทั้งพันธุ์พิษณุโลก พันธุ์ชัยนาท พันธุ์หอมปทุม รวมถึงพันธุ์พื้นเมืองอย่างเล็บนกและสังข์หยด ผลผลิตข้าวเน้นการบริโภคในครัวเรือน แต่หลังจากที่ได้ลิ้มลองข้าวหอมชลสิทธิ์ ต่างรับรู้ได้ถึงความนุ่มและหอมของข้าวสายพันธุ์นี้ที่แตกต่างจากพันธุ์ข้าวที่บริโภคประจำ

ปรีชา เล่าว่า ปัจจุบันพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์เริ่มเป็นที่นิยมบริโภคของคนในพื้นที่และต่างอำเภอ เพราะความหอม ความนุ่ม อร่อยกว่าข้าวหอมปทุม เมล็ดพันธุ์เองก็มีเกษตรกรจากสงขลาสนใจที่ซื้อไปปลูก เพราะสายพันธุ์นี้ทนน้ำท่วมขังและทนโรค เห็นได้ชัดจากช่วงที่เพลี้ยลง ชาวบ้านที่ปลูกพันธุ์ข้าวอื่นได้รับความเสียหายหมด แต่พันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ฟื้นตัวได้

แม้ในปีแรกสมาชิกกลุ่มฯ ยังมีปลูกข้าวสายพันธุ์อื่นอยู่บ้าง แต่ในรอบการผลิตปี 61/62 พื้นที่ปลูกข้าวรวมกว่า 130 ไร่ของสมาชิกกลุ่มฯ ปลูกข้าวหอมชลสิทธิ์ 100% อีกทั้งยังมีพื้นที่เพาะปลูกอีกกว่า 100 ไร่ที่หมู่บ้านข้างเคียงที่พร้อมจะร่วมปลูกสายพันธุ์ข้าวนี้

ปลูกเหมือนพันธุ์อื่น แต่พันธุ์นี้ทนน้ำท่วมดีกว่า หว่านได้ วัน น้ำท่วม 20 คืน ข้าวยังโตต่อได้ แล้วได้ผลผลิตเยอะ 800 กก./ไร่ และราคาดีกว่า” เสียงสะท้อนจาก โสภา มุกตา สมาชิกกลุ่ม

ในฟากของผู้ที่คลุกคลีกับการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหลายชนิดมานาน ทวี บุษราภรณ์ เล่าว่า ทำเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ส่งขายให้กลุ่ม โดยทำ ครั้ง/ปี ในช่วงมกราคมเมษายนและพฤษภาคมสิงหาคม ที่ผ่านมาได้ส่งตรวจคุณภาพที่ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวพัทลุง มีอัตราการงอก 98% การดูแลไม่ต่างจากสายพันธุ์ข้าวอื่นที่ต้องรู้ลักษณะสายพันธุ์ที่ปลูก และลงแปลงเรื่อยๆ สังเกตลำต้น ใบ สี หรือความสูง ถ้าไม่ใช่พันธุ์เรา ก็คัดทิ้ง

ผลผลิตจะดีได้มาจากเมล็ดพันธุ์และการดูแลระหว่างปลูก แต่ไม่ว่าจะปลูกทำเมล็ดพันธุ์หรือปลูกข้าวขาย ก็ต้องดูแลใส่ใจเหมือนกัน” ป้าทวี ย้ำ

แม้สมาชิกวิสาหกิจกลุ่มข้าวหอมชลสิทธิ์บ้านโคกฉิ่งจะผลิตข้าวหอมชลสิทธิ์ได้เพียง ปี แต่ผลผลิตที่ได้และการตอบรับอย่างดีจากตลาด ทำให้สมาชิกมีกำลังใจที่จะเดินหน้าผลิตพันธุ์ข้าวนี้ต่อไป โดยมี สวทชสนับสนุนความรู้และเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสมดังข้อความที่ติดบนบรรจุภัณฑ์ของกลุ่มฯ ว่า “ข้าวหอมชลสิทธิ์ ข้าวทนน้ำท่วม กลิ่นหอมและเหนียวนุ่ม สินค้าคุณภาพ ผลิตด้วยความใส่ใจ”

สวทชร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรมการข้าว พัฒนาข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน เป็นพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์ข้าว IR57514 มีคุณสมบัติทนน้ำท่วมฉับพลัน กับพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 โดยใช้เครื่องหมายโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับยีนทนน้ำท่วมและคุณภาพการหุงต้มในการคัดเลือก ข้าวหอมชลสิทธิ์มีกลิ่นหอม ทนน้ำท่วมฉบับพลันในทุกระยะการเจริญเติบโต ทนอยู่ในน้ำได้นาน 2–3 สัปดาห์ ไม่ไวต่อช่วงแสง ทำให้ปลูกได้มากกว่า ครั้งต่อปี ผลผลิตข้าวเปลือกประมาณ 800 กิโลกรัมต่อไร่

วิสาหกิจกลุ่มข้าวหอมชลสิทธิ์บ้านโคกฉิ่ง
.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง
โทรศัพท์ 087 2914279, 091 0478043

สิ่งพิมพ์