

ก้าวกระโดดสำคัญของวงการเทคโนโลยี กับมาตรการสร้างความร่วมมือและพัฒนาอุตสาหกรรมไทยที่ใช้ในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ
ปัจจุบัน แต่ละปีหน่วยงานภาครัฐมีโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไปไม่น้อยกว่า 50-60 โครงการ/ปี ทำอย่างไรจึงสามารถทำให้โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้เกิดความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณไทยในการนำมาซึ่งการเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีให้แก่ภาคอุตสาหกรรมและภาคการวิจัยมากขึ้น
การกำหนดให้มีกิจกรรมการชดเชยให้ต้องมีการตอบแทนเพื่อพัฒนาประเทศเป็นหนึ่งในภาระผูกพันภายใต้โครงการภาครัฐ เป็นมาตรการที่มีการใช้ทั่วโลกไม่น้อยกว่า 130 ประเทศ โดยเป็นที่รู้จักกันในชื่อมาตรการชดเชย (Offset) หรือบางประเทศใช้ชื่อมาตรการสร้างความร่วมมือทางอุตสาหกรรม (Industrial cooperation / Industrial Collaboration) และประเทศที่ประสบความสำเร็จจากมาตรการนี้ มักเป็นประเทศที่ทำในลักษณะบังคับใช้กับโครงการภาครัฐ โดยมีกฎหมายและหน่วยงานรองรับที่ชัดเจน จนหลายประเทศสามารถทำให้เอกชนในชาติเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานโลกได้ เช่น มาเลเซียที่อาศัยมาตรการนี้ในชื่อ Industrial Collaboration Programme : ICP) ในการจัดซื้อเครื่องบิน โดยกำหนดให้คู่สัญญา คือ โรลส์-รอยซ์ (Rolls-Royce) มีกิจกรรมในมาเลเซีย ได้แก่ การออกใบรับรองและถ่ายทอดความรู้การซ่อมเครื่องยนต์เครื่องบินรุ่นที่เล็กกว่ารุ่นที่ซื้อ เพื่อให้เป็นศูนย์ซ่อมบำรุงเครื่องยนต์อันดับที่ 8 ของโลกให้กับ Rolls Royce การให้ suppliers ของ Rolls Royce ซื้อชิ้นส่วนเครื่องบินจากมาเลเซีย จนปัจจุบันกลายเป็นผู้ผลิตวัสดุคอมโพสิต 1 ใน 5 ของโลกให้แก่ Airbus (ได้รับการประกาศจาก Airbus ว่าเครื่องบินแอร์บัสทุกลำที่บินทั่วโลกในปัจจุบันมีชิ้นส่วนที่ผลิตในมาเลเซีย) การร่วมวิจัยน้ำมันปาล์มที่ใช้กับเครื่องบินไอพ่นระหว่างมหาวิทยาลัยเคมบริจ์ดกับสถาบันวิจัยเทคโนโลยีในมาเลเซีย และทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้นเป็นของรัฐบาลมาเลเซีย การตั้งศูนย์ออกแบบผลิตภัณฑ์และพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมอากาศยาน โดย Rolls Royce เป็นหุ้นส่วนและสนับสนุนงบประมาณ 5 ปีแรก
สำหรับไทย ประเทศไทยมีการพัฒนามาตรการดังกล่าว ในชื่อ “มาตรการสร้างความร่วมมือและพัฒนาอุตสาหกรมไทย” (Industrial Collaboration and Development Programme: ICDP) ซึ่งหมายถึง การกำหนดเงื่อนไขให้ต้องมีความร่วมมือในการถ่ายโอนเทคโนโลยีและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับขีดความสามารถ และพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกผ่านโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี การอนุญาตให้ใช้สิทธิทางเทคโนโลยี การกำหนดให้ใช้ชิ้นส่วน วัตถุดิบ หรืออุปกรณ์ภายในประเทศ การลงทุนในประเทศ การยกระดับทักษะและพัฒนาบุคลากรไทย เป็นต้น
มาตรการนี้ ใช้กับโครงการภาครัฐที่มีมูลค่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไปที่ต้องจัดซื้อจัดหาจากต่างประเทศ โดยเพิ่มเงื่อนไขให้มีกิจกรรมในประเทศ ไม่ว่าจะร่วมมือกับเอกชนไทย สถาบันวิจัยไทย หรือสถาบันการศึกษาไทย ทั้งในมิติของการร่วมผลิต ร่วมวิจัย ให้ความรู้ ฯลฯ เป็นหนึ่งในเรื่องที่คู่สัญญาที่ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไทยหรือต่างชาติต้องดำเนินการแบบภาคบังคับ และต้องมีการตรวจสอบติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของกิจกรรมเหล่านี้ให้สำเร็จจึงปิดโครงการได้
การเสนอกิจกรรมเพิ่มเติมจะทำให้งบประมาณภาครัฐที่ต้องขอเพิ่มขึ้นหรือไม่….ขออธิบายว่า…ปัจจุบัน การตั้งโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ หากพิจารณางบประมาณที่หน่วยงานรัฐเสนอขอไปจะพบว่า การซื้อ/เช่า/จ้างในแต่ละเรื่อง มักมีราคาสูงกว่าราคาตลาดอยู่แล้ว เนื่องจากมีการของบประมาณเพื่อการซ่อมบำรุงรักษา การฝึกอบรม การทดสอบรวมอยู่แล้วเรียบร้อย ซึ่งรัฐไม่เพียงได้สิ่งของหรือระบบที่ต้องการ แต่ละมีการสอนให้คนในภาครัฐทำเองเป็น แต่ที่ผ่านมา …. มักเป็นการสอนเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พอใช้งานได้เองเป็น หรือส่งคนไปดูงานในต่างประเทศ 7-10 วัน เท่านั้น สิ่งที่ขาดหายไป คือ “ความไม่ยั่งยืน…รัฐยังคงต้องพึ่งพาต่างชาติที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี เจ้าของสินค้าในระยะยาว” ทำให้ยังคงต้องมีโครงการเพื่อการซ่อมบำรุงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกจำนวนมหาศาล ดังนั้น มาตรการใหม่นี้ จะอนุญาตให้ผู้ที่ได้การถ่ายทอดเป็นภาคเอกชนได้ แต่เอกชนไทยเองก็จำเป็นต้องพิจารณาศักยภาพในการรับถ่ายทอดของตนเองด้วยเช่นกันว่ามีความพร้อมแค่ไหนและพร้อมที่จะยอมจ่ายในส่วนของตนเองในการเข้าร่วมกิจกรรมที่รัฐจะให้ด้วยเช่นกัน
อะไรคือกลุ่มเป้าหมายในมาตรการนี้บ้าง…. มาตรการ ICDP กำหนดกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และเทคโนโลยีเป้าหมายที่รัฐต้องการในระยะ 5 ปีแรก แบ่งออกเป็น
กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วย 7 อุตสาหกรรม ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมวัสดุ (2) อุตสาหกรรมดิจิทัล (3) อุตสาหกรรมอวกาศ (4) อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและบรรเทาสาธารณภัย (5) อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ (6) อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ และ (7) อุตสาหกรรมพลังงาน
กลุ่มเทคโนโลยีเป้าหมาย ประกอบด้วย 5 เทคโนโลยี ได้แก่ (1) จีโนมและเทคโนโลยีชีวภาพ (Genomic and Biotechnology) (2) เทคโนโลยีวัสดุและนาโนเทคโนโลยี (Material Technology & Nanotechnology) (3) เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (Digital and Artificial Intelligence (AI) Technology) (4) เทคโนโลยีสีเขียว เทคโนโลยีพลังงาน และเทคโนโลยีสะอาด (Green, Energy and Clean Technology) และ (5) เทคโนโลยีการเคลื่อนที่ (Mobility Technology)
หลายคนมีความกังวลว่า…การบังคับใช้กับหน่วยงานภาครัฐจะมีความเป็นไปได้หรือ ?…. เป็นไปได้ หากกำหนดในลักษณะเป็นนโยบายระดับชาติแล้วสั่งการให้ทุกหน่วยงานต้องปฏิบัติตาม (Top-down Policy) โดยมีกฎหมายแนวปฏิบัติ คู่มือ และหน่วยงานบริหารจัดการมาตการ ICDP รองรับ รวมทั้งมีการพัฒนาแพลตฟอร์ม (ICDP Platform) เพื่อให้มีการขึ้นทะเบียนผู้พร้อมเป็นหน่วยรับถ่ายทอดหรือดูดซับความรู้ทางเทคโนโลยี (ICDP Recipient) ภาคเอกชน หน่วยงานรัฐ สถาบันการศึกษา แม้แต่ สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัย สามารถเป็นขอขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยรับถ่ายทอดความรู้ได้เช่นกัน …. เราคงต้องไตร่ตรองกันแล้วนะคะว่า…อะไรเป็นเทคโนโลยี หรือการวิจัยที่เราอยากพัฒนาความสามารถให้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในสิ่งที่เรายังขาดองค์ความรู้ เพื่อเตรียมเข้าร่วมในมาตรการ ICDP เมื่อรัฐประกาศใช้จริง

จะทราบได้อย่างไรว่า….กิจกรรมที่จะได้รับการเสนอสอดคล้องกับสิ่งที่ไทยต้องการจริง?….ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยมาตรการ ICDP จำเป็นต้องมีการศึกษาศักยภาพความพร้อมทั้งด้านอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีที่ไทยต้องการในแต่ละเทคโนโลยีย่อย เพื่อให้แต่ละหน่วยงานใช้เป็นคู่มือนำทางในการให้คู่สัญญาเสนอกิจกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของไทยได้ ในส่วนนี้จำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมก่อนบังคับใช้เช่นกัน
มาตรการสร้างความร่วมมือและพัฒนาอุตสาหกรรมไทย (Industrial Collaboration and Development Programme: ICDP) ถือเป็นก้าวกระโดดสำคัญที่เป็นทางลัดในการพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทำให้ไทยสามารถเพิ่มความสามารถของภาคอุตสาหกรรมและภาคการวิจัยให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ อย่างน้อยด้านการซ่อมบำรุงรักษาในสินค้าหรือบริการที่จัดซื้อจัดหาจากประเทศได้เองในประเทศ โดยไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติตลอดอายุการใช้งาน จะทำให้ลดงบประมาณภาครัฐด้านการซ่อมบำรุงอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 35% ของงบประมาณที่รัฐต้องสูญเสียเป็นค่าซ่อมบำรุงรักษาในแต่ละปี และเกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐอย่างเกิดประโยชน์ค่อนข้างมาก