ถอดบทเรียนองค์ความรู้ของพนักงาน สวทช. ที่เกษียณอายุงานประจำปี 2568

พ.ศ. 2568 สวทช. โดยฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ (MMP) ในสายงานกลยุทธ์องค์กร และฝ่ายบริการทรัพยากรบุคคล (HRSS) ในสายงานบริหาร ร่วมกันดำเนินการสัมภาษณ์พนักงาน สวทช. ที่จะเกษียณอายุงานประจำปี 2566 จำนวน 10 คน (จากจำนวนผู้เกษียณอายุงานในปี 2568 จำนวน 34 คน)

เพื่อถอดบทเรียนและองค์ความรู้ของพนักงาน สวทช. ที่เกษียณอายุงาน เพื่อรวบรวมและเผยแพร่องค์ความรู้โดยเฉพาะความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในคน (tacit knowledge) อันเป็นความรู้สำคัญขององค์กร เพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้ของพนักงานของ สวทช. ในการนำองค์ความรู้มาพัฒนาและต่อยอดการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เนื้อหาในถอดบทเรียนฯ นี้ เกิดจากการเรียบเรียงบทสัมภาษณ์ของพนักงาน สวทช. ที่เกษียณอายุงานประจำปี 2568 จำนวน 10 คน รวบรวมเรื่องราวและประสบการณ์อันทรงคุณค่าที่สะท้อนถึงความผูกพันและทัศนคติเชิงบวกต่อองค์กร ความประทับใจที่หลากหลายซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ด้านวัฒนธรรมองค์กร การพัฒนาศักยภาพ สวัสดิการ ไปจนถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ล้วนเป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงคุณค่าของการเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของ สวทช. เนื้อหานี้จึงเป็นเสมือนบันทึกประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทอดความรู้สึกจากใจของบุคลากรผู้ร่วมสร้างสรรค์และขับเคลื่อนงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศมาอย่างยาวนาน

บุคคลคนต้นเรื่องที่บอกเล่าเรื่องราวตลอดจนประสบการณ์ในการทำงานในรั้ว สวทช. จำนวน 10 คน มีอายุการทำงานในรั้วแห่งนี้กว่า 20 ปี และทั้ง 10 คน ได้ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงาน บอกเล่าถึงการทำงานที่ผ่านร้อนผ่านหนาวร่วมกันมาแม้มีอุปสรรคในการทำงานอยู่บ้างบางช่วงเวลา แต่ก็ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจ

ความประทับใจต่อการทำงานที่ สวทช.
ตลอดระยะเวลาการทำงานกว่า 20 ปี ของผู้เกษียณได้สะท้อนถึงความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ สวทช. ผูเกษียณอายุงานบางรายมีจุดเริ่มต้นการทำงานมาจากการเป็นลูกจ้างในกระทรวงวิทยาศาสตร์ (ชื่อกระทรวงในขณะนั้น) นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ก่อนจะได้เข้ามาเป็นพนักงานเต็มตัว ที่ สวทช. ซึ่งทุกช่วงเวลาล้วนเต็มไปด้วยความสุข ความทรงจำ  และประสบการณ์ที่มีคุณค่า โดยเฉพาะการได้รับการถ่ายทอดความรู้และคำสอนจากผู้บังคับบัญชาในทุกระดับชั้น และเพื่อนร่วมงานที่ทุกคนพร้อมที่จะให้คำแนะนำด้วยความจริงใจ และผู้บริหารมักจะให้คำแนะนำและการสอนงานด้วยความเมตตาเสมอ (คุณจีรวรรณ นวลอนันต์) จึงทำให้การทำงานที่ สวทช. เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจและความประทับใจตลอดมา

ความสัมพันธ์และการทำงานร่วมกัน
สิ่งที่ผู้เกษียณหลายคนกล่าวตรงกันคือ สวทช. เป็นองค์กรที่มีบรรยากาศอบอุ่นเสมือนบ้านหลังที่สอง ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์กว้างไกล เปิดโอกาสและให้อิสระทางความคิด ในขณะเดียวกันก็มีนโยบายและสวัสดิการที่ดูแลพนักงานและครอบครัวอย่างทั่วถึง เพื่อนร่วมงานทำงานร่วมกันด้วยความสามัคคี เคารพและช่วยเหลือกันเสมอ ทำให้ทุกวันของการทำงานเต็มไปด้วยกำลังใจและความผูกพัน นอกจากนี้ องค์กรยังเป็นแหล่งเรียนรู้ ที่ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้การทำงานที่นี่เป็นทั้งการสร้างผลงานและการพัฒนาตัวเองไปพร้อมกัน

การทำงานร่วมกันภายในและการให้เครดิตผลงาน

การสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งภายในองค์กรเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตหนึ่งที่อยากจะฝากไว้คือ การให้เครดิตผลงานอย่างเหมาะสม ต้องบอกก่อนว่า เป็นเรื่องดีมากเลยที่เห็นหน่วยงานต่าง ๆ ใน สวทช. นำผลงานวิจัยไปเผยแพร่ต่อเพื่อให้เกิดประโยชน์ แต่บางทีก็อาจจะเผลอ ๆ ลืมให้เครดิตนักวิจัยเจ้าของผลงานไปบ้าง ซึ่งจริง ๆ แล้วเรื่องนี้สำคัญมากเลยนะคะ เพราะการให้เครดิตอย่างถูกต้อง ไม่ได้เป็นแค่การให้เกียรติเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานร่วมกันด้วย

ถ้าเราช่วยกันดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจังในระดับนโยบาย ก็จะช่วยให้ความร่วมมือระหว่างทีมต่าง ๆ ภายใน สวทช. ราบรื่นและแข็งแกร่งขึ้น และช่วยส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศแห่งความร่วมมือและไว้ใจกันในระยะยาว

ความท้าทายในการนำผลงานวิจัยไปใช้

หนึ่งในความท้าทายสำคัญที่นักวิจัยต้องเผชิญคือ การที่ผลงานวิจัยไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์จริง หรือที่เรียกว่า “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” สาเหตุหลักมาจากนโยบายระดับประเทศและระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง พืชดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะมีประโยชน์มหาศาล แต่กลับเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากสาธารณะ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความยากในการสื่อสารข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ .

นอกจากนี้ การสื่อสารของกลุ่ม NGO มักใช้ถ้อยคำที่สร้างความรู้สึกรุนแรงและอาจบิดเบือนข้อมูล ทำให้ประชาชนหวาดกลัวและต่อต้านเทคโนโลยีเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายนี้ เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง Gene Editing กำลังถูกพัฒนาขึ้น โดยมีการวางกฎระเบียบรองรับตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อลดความขัดแย้งและสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณะ

การทำความเข้าใจความท้าทายเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถหาแนวทางในการนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต ดังนั้นการสื่อสารกับประชาชนเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมวิชาการเกษตร เพราะการสื่อสารที่ดีไม่ได้มีไว้สำหรับนักวิชาการด้วยกันเท่านั้น แต่ต้องทำให้คนทั่วไปเข้าใจได้ด้วย เพื่อให้พวกเขายอมรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนวคิดที่น่าสนใจคือ การใช้ อินฟลูเอนเซอร์ หรือ นักศึกษาที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ มาเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ เพื่อช่วยต่อสู้กับข้อมูลผิด ๆ ที่เผยแพร่ในวงกว้าง การสื่อสารในรูปแบบใหม่นี้จะช่วยให้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนเข้าถึงสาธารณะได้มากขึ้น และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับสังคมในวงกว้าง

การถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์

ผู้ให้สัมภาษณ์พูดถึงความสำคัญของการถ่ายทอดความรู้ให้กับนักวิจัยรุ่นใหม่ ทั้งในส่วนของงานวิจัยในห้องปฏิบัติการ (เช่น Molecular Cloning และ Tissue Culture) และงานที่ไม่ใช่งานวิจัย เช่น การจัดซื้อ การตั้งงบประมาณ และการเขียนข้อเสนอโครงการ โดยเน้นการฝึกปฏิบัติจริงเพื่อให้มั่นใจว่างานจะดำเนินต่อไปได้แม้ว่านักวิจัยที่มีประสบการณ์จะไม่อยู่แล้ว การถ่ายทอดความรู้จะใช้วิธีการสื่อสารโดยตรงและการมอบหมายงาน แทนที่จะใช้ระบบการจัดการความรู้ที่เป็นระบบเหมือนวิกิ

สิ่งที่อยากฝากถึง สวทช.

ผู้เกษียณกล่าวว่า แม้จะก้าวสู่ช่วงชีวิตใหม่หลังการเกษียณ แต่ความผูกพันที่มีต่อ สวทช. ยังคงอยู่ในใจเสมอ สิ่งที่อยากฝากไว้คือขอให้องค์กรยังคงรักษาความเป็นสถาบันที่ทรงคุณค่า เดินหน้าสร้างองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และขยายผลสู่ภาคส่วนต่าง ๆ อย่างทั่วถึง

ที่สำคัญคืออยากส่งต่อข้อคิดให้กับคนรุ่นใหม่ว่า “งานคือลมหายใจ ส่วนหัวใจคือองค์กร” (คุณอุระวี กระตืองาน) ขอให้ทุกคนทำงานด้วยความรัก ความซื่อสัตย์ และความรับผิดชอบ เพราะเมื่อทำงานด้วยหัวใจ ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่เพียงสร้างความสำเร็จให้กับตนเอง แต่ยังเป็นพลังสำคัญที่ผลักดันองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน