ตลาดสมุนไพรในต่างประเทศมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากผลการขยายตัวของกลุ่มผู้สูงอายุและ เทรนด์การดูแลสุขภาพจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ “สมุนไพร” ถูกใช้เป็นวัตถุดิบต้นทางในห่วงโซ่ของการพัฒนาต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ในหลากหลายอุตสาหกรรม จากข้อมูลตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั่วโลกในปี 2566 อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มมีมูลค่าสูงสุด ประมาณ 5.31 แสนล้านบาท รองลงมาได้แก่ อุตสาหกรรมยา มีมูลค่า 3.24 แสนล้านบาท และอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุง มีมูลค่า 2.22 แสนล้านบาท ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าตลาดสูงสุดและมีแนวโน้มการเติบโตสูงสุด โดยเฉพาะประเทศจีน รองลงมาคือ ประเทศอินเดีย และประเทศญี่ปุ่น (ที่มา: เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร “Global Market Condition” โครงการ IDE ประจำปี 2567, สวทช.) ซึ่งประเทศไทยแม้จะเป็น แหล่งกำเนิดของพืชสมุนไพรที่หลากหลาย แต่การผลิตสมุนไพรของไทยยังประสบปัญหาด้านความไม่สมดุลของ อุปสงค์และอุปทาน การปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์และโลหะหนัก ตลอดจนความไม่สม่ำเสมอของสารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพรที่มาจากแหล่งปลูกต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพและมาตรฐานการผลิต ทำให้ประเทศไทยยังขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก รัฐบาลไทยจึงได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสมุนไพรไทยเป็นอย่างมาก โดยได้กำหนดเป็นประเด็นสำคัญในวาระแห่งชาติ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566 – 2570 ซึ่งเป็นการดำเนินงานร่วมกัน 5 กระทรวงหลัก คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสนับสนุนให้เกิดการผลิตสมุนไพรที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้สมุนไพร รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสมุนไพรไทยทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ได้กำหนดสมุนไพรไทยเป็น Herbal Champion แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1. สมุนไพรที่มีความพร้อมในการพัฒนาต่อยอด เช่น ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร และกระชายดำ
2. สมุนไพรที่มีศักยภาพต้องการพัฒนาเพิ่มเติม เช่น บัวบก มะขามป้อม ไพล ขิง กระชาย ว่านหางจระเข้ กวาวเครือขาว มะระขี้นก เพชรสังฆาต กระท่อม กัญชง และกัญชา

นอกจากนี้ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบบควบคุมมาตรฐานการผลิต และนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดต้นทุนการผลิต เพื่อให้สมุนไพรไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป้าหมายสำคัญของนโยบายนี้คือการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเกษตรและอาหารของโลก (IGNITE Thailand Agriculture Hub) ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร เพิ่มโอกาสในการส่งออก และผลักดันอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยสู่เวทีระดับโลก การส่งเสริมด้านการพัฒนาเกษตรกรให้ยกระดับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ หรือเรียกว่า “Smart Farmer” ได้บูรณาการร่วมกับการบริหารจัดการฟาร์มยุคใหม่ (Smart Farming) มุ่งเน้นการพัฒนาด้านเกษตรกรรมใน 4 ด้าน ได้แก่ 1) การลดต้นทุนในกระบวนการผลิต 2) การเพิ่มคุณภาพมาตรฐานการผลิตและสินค้า 3) ลดความเสี่ยงในภาคเกษตรจากการระบาดของศัตรูพืชและภัยธรรมชาติ และ 4) การจัดการและส่งผ่านความรู้ในมิติของผลผลิต โดยเน้นการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ที่มา : https://www.thaigov.go.th)
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ดำเนินการเพื่อช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อผลักดันให้นำนวัตกรรมด้านการผลิตพืชผักสมุนไพรที่ สวทช. พัฒนาขึ้น ไปใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้ผลผลิตและปริมาณสารสำคัญที่สูง ภายใต้แผนงาน “การผลิตพืชผักสมุนไพรด้วยเทคโนโลยีการเกษตรอัจฉริยะ” โดยรวมเอาสหวิทยาการทางด้านการเกษตรสมัยใหม่ เช่น เทคโนโลยีโรงงานผลิตพืช เทคโนโลยีโรงเรือนอัจฉริยะ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์และ มัลติสเปกตรัล จีโนมิกส์ ฟีโนมิกส์ การปรับปรุงพันธุ์พืชการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว เคมี และอินทรีย์เคมี ตลอดจนการสร้างโมเดลจำลองโดยประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก (Big data) และ Artificial Intelligence (AI) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยได้ตลอดทั้ง value-chain ของการผลิตพืช ผัก สมุนไพร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มผลผลิตที่เป็นวัตถุดิบต้นทางให้มีปริมาณและคุณภาพสูง สามารถควบคุมปริมาณวัตถุดิบให้มีความแน่นอนและสม่ำเสมอได้ จะเป็นการเพิ่มรายได้ของผู้ประกอบการไทย และเพิ่มรายได้เศรษฐกิจฐานรากของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชผัก สมุนไพร รวมถึงลดความเสี่ยงในภาคเกษตรจากการระบาดของศัตรูพืชและภัยธรรมชาติ ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้นและสามารถแข่งขันได้ ซึ่งการดำเนินแผนงานดังกล่าวได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีงบประมาณ 2567
ในปี 2568 ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ โดย Pre-Battle “การผลิตพืชผักสมุนไพรด้วยเทคโนโลยีการเกษตรอัจฉริยะ” ร่วมกับอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย มีความประสงค์จะจัดกิจกรรม “ปักหมุด จุดเริ่มต้นแหล่งพัฒนาการผลิตพืชผักสมุนไพรด้วยเทคโนโลยีการเกษตรอัจฉริยะ” เพื่อการเชื่อมโยงจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย กิจกรรมนี้จะเป็นการรวมฐานข้อมูลของหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร แหล่งซื้อ-ขายสมุนไพรคุณภาพสูง และอุปกรณ์สำหรับการสร้างโรงเรือนอัจฉริยะ (Smart Farm) ไว้ในที่แห่งเดียว กิจกรรมนี้สอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่รัฐบาลไทยมุ่งเน้น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดโลก พร้อมทั้งสนับสนุนการสร้างรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยอย่างยั่งยืน

